ประสิทธิภาพการใช้งบประมาณลงทุน พลังสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาครัฐ
  • 10 October 2018 at 12:29
  • 1027
  • 0

งบประมาณการลงทุนภาครัฐมีพลังสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งทางตรงจากผลกระทบทวีคูณของวงเงินลงทุน และผลดีทางอ้อมจากการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคมของโครงการลงทุนต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ

โครงสร้างงบประมาณ ภาพแสดงพลังงบภาครัฐ

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วงเงินงบประมาณรายจ่ายจำนวน 3,000,000 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 17.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จุดประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น มีงบประมาณรายจ่ายเพียงพอในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม

ปัจจุบันประมาณการรายได้สุทธิจำนวน 2,550,000 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ14.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 450,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ การวางงบประมาณขาดดุลดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อวินัยและฐานะการคลังของประเทศในระยะยาว

โครงสร้างงบประมาณปี 2562 มีสาระสำคัญสรุปดังนี้

งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 3,000,000ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 50,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ1.6 โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

รายจ่ายประจำ

รายจ่ายประจำ กำหนดไว้เป็นจำนวน 2,261,488.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 24,542.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 โดยรายจ่ายประจำดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.4 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 73.3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

(ในส่วนนี้เป็นกลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ – หมายถึงเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และผลตอบแทนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 1,060,869.0 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 35.4 ของวงเงินงบประมาณ)

รายจ่ายลงทุน รายจ่ายลงทุนกำหนดไว้เป็นจำนวน 660,305.8 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 16,163.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.4 โดยรายจ่ายลงทุนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.0 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 22.2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้

รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ได้จัดสรรไว้เป็นจำนวน 78,205.5 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 8,736.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10.0 โดยรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.6 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 2.9 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

เทียบเคียงประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ 2561

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ผลเบิกจ่ายในช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2561 มีการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมได้จำนวน 2,667,073 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,900,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 92.0 แบ่งเป็น

เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนได้จำนวน 373,034 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 659,781 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 56.5

เบิกจ่ายรายจ่ายประจำได้จำนวน 2,294,039 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,240,219 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 102.40

สาเหตุที่ผลเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนต่ำกว่าเป้า เนื่องจากหน่วยงานของรัฐยังมีปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจ ไม่คุ้นเคยกับการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ จึงเกิดความกังวลในการปฏิบัติงาน ซึ่งกรมบัญชีกลางจะเร่งทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น แต่พบว่าจำนวนเงินในการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวม งบประมาณรายจ่ายลงทุน และการก่อหนี้ผูกพัน เบิกได้สูงกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา

ในส่วนการเบิกจ่ายของกรมบัญชีกลาง มีผลการเบิกจ่ายสูงกว่าเป้าหมายเป็นปีแรก โดยเบิกจ่ายภาพรวมได้จำนวน 1,439.52 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 1,484.33 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.65 สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 1.65 (เป้าหมายร้อยละ 96) แบ่งเป็น เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนได้จำนวน 277.66 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 296.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.76 สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 5.76 (เป้าหมายร้อยละ 96) และเบิกจ่ายรายจ่ายประจำได้จำนวน 1,171.85 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 1,188.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98.62

ปรับปรุงพัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้าง

กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งออกกฎหมายลำดับรองและแนวปฏิบัติ จำนวน 63 ฉบับ เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง และคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงมีการจัดอบรมหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปีที่ผ่านมา มีหน่วยงานภาครัฐเข้าใช้งานในระบบ e-GP จำนวน 195,768 ราย และมีผู้ค้ากับภาครัฐลงทะเบียนในระบบ e-GP จำนวน 244,776 ราย

ในส่วนของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 (ตุลาคม 2560 – กรกฎาคม 2561) มูลค่าที่จัดหาได้ 867,051 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 938,701 ล้านบาท สามารถประหยัดงบประมาณได้ 71,650 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.63%

ในอนาคต กรมบัญชีกลางจะเริ่มให้หน่วยงานของรัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานจ้างออกแบบและควบคุมงานได้ในเดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นไป รวมทั้งจะปรับปรุงและพัฒนาต่อยอด เพื่อตอบสนองการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาระบบประกวดราคานานาชาติ (international bidding) การพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์

ผลดีจากข้อตกลงคุณธรรม

นางสาวสุทธิรัตน์กล่าวต่อว่า การดำเนินการด้านความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง หลังจากกรมบัญชีกลางได้เริ่มให้หน่วยงานจัดทำข้อตกลงคุณธรรม มีหน่วยงานเจ้าของโครงการสนใจเข้าร่วมมากขึ้นทุกปี โดยในปีงบประมาณ 2561 มีโครงการที่เข้าร่วม จำนวน 32 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวม 905,283.48 ล้านบาท ซึ่งทำให้ภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 21,367.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 53.01

การนำโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) มาใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในปี 2561 มีการคัดเลือกโครงการก่อสร้างภาครัฐเข้าร่วมโครงการ CoST จำนวน 147 โครงการ มีมูลค่าการก่อสร้างรวม 113,665 ล้านบาท รวมทั้ง ได้ขยายผลการตรวจสอบไปยังราชการส่วนท้องถิ่นอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้โครงการก่อสร้างภาครัฐมีคุณภาพมากขึ้น ลดช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความมั่นใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ให้กับทุกภาคส่วน ในส่วนของการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง กรมบัญชีกลางได้เป็นคณะกรรมการซุปเปอร์บอร์ดจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

นอกจากนี้กรมบัญชีกลางได้กำกับ เร่งรัด ติดตามและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2560 – ปัจจุบัน มีดังนี้

1. พิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 จำนวน 7 โครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

2. ตรวจสอบ TOR ของโครงการต่าง ๆ ของรัฐที่ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งมีวงเงินสูงหรือเป็นโครงการของรัฐที่อยู่ในความสนใจของประชาชนย้อนหลัง 3 ปี จำนวน 9 โครงการ

และ 3. พิจารณาตรวจสอบโครงการการจัดจ้างผลิตและให้บริการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 3 (E – PASSPORT PHASE 3)

ล่าสุดกรมบัญชีกลางได้ประกาศเรื่อแจ้งเพื่อทราบดังนี้

แจ้งเพื่อทราบ

1.ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไปกรมบัญชีกลาง ได้ขยายระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างโครงการงานจ้างก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณเกิน 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะต้องดำเนินการคำนวณราคากลาง ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุุด ที่ กค 0405.3/ว 386 ลงวันที่  29 ส.ค. 2561

2.สำหรับโครงการที่สร้างก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2561 สามารถดำเนินการสร้างโครงการได้ตามระบบงานเดิม

ขยายความส่งท้าย  หากเปรียบเทียบการบริหารจัดการเงินงบประมาณของภาครัฐกับกิจการภาคเอกชน เห็นได้ว่า  เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ  เบิกใช้ไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย ล้นเกินนิดหน่อย  แต่โครงการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน สร้างความพร้อมให้ประเทศ อันเป็นภารกิจหนึ่งของภาครัฐทำไปได้ร้อยละ 56.5 เกินครึ่งไปนิดเดียว  หากพนักงานบริษัททำได้ในระดับนี้ บริษัทนั้นไปไม่รอดแน่นอน  เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็ไม่แตกต่างกันนั้น  แม้ช่วงเวลาที่ส่งผลนั้นยาวนานกว่า

#