กลุ่มไทคอน โชว์รายได้ครึ่งปีแรก 1,028 ล้านบาท

กลุ่มไทคอน ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2560 เป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวม
1,028 ล้านบาท พร้อมชำระเงินกู้ 5,910 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่
มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิลดลงเหลือ 0.38 เท่า ตอกย้ำมั่นใจธุรกิจ
ครึ่งปีหลังเติบโตได้ตามแผนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

 

นายวีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็ค
ชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมแบบครบวงจร
ในอาเซียน รายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทไทคอนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี
2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 481 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 135 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 39  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิจำนวน 45
ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ จำนวน 347 ล้าน
บาท

 

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,028 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 140 ล้านบาท นอก
จากนี้ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ ยังได้ชำระคืนเงินกู้จำนวน 5,910 ล้านบาท โดย
ใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงทำให้ค่าใช้จ่าย
ดอกเบี้ยลดลงประมาณ 93 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อ
ส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 1.92 เท่า ณ สิ้น
ปี 2559 เป็น 0.38 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัท
มีกำไรเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 2/2560 ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น
เป็นจำนวน 7,145.5 ล้านบาท

 

"ผลการดำเนินงานของกลุ่มไทคอนในครึ่งปีแรก 2560 บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าโรงงาน
เพิ่มขึ้น 26,657 ตารางเมตร และคลังสินค้าเพิ่มขึ้น 117,731 ตารางเมตร ซึ่ง
ลูกค้าทั้งหมดของ TICON และ TPARK ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น
332 ราย โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติมากกว่าร้อยละ 90 และกลุ่มลูกค้า
หลักยังคงเป็นลูกค้าประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ จากการรุกทำตลาดนักลงทุนจีนทำให้
กลุ่มไทคอนมีสัดส่วนของลูกค้าประเทศจีนให้ความสนใจเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้
ลูกค้าส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อิเลคทรอนิคส์ ผู้
ให้บริการด้านโลจิสติกส์ และโมเดิร์นเทรด" นายวีรพันธ์ กล่าว


สำหรับภาพรวมธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ของไทยในครึ่งหลังของปี 2560 นั้นจะ
ยังคงเติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศโดย
ตรง (FDI) ที่ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เห็นการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา
เป็นเพราะนักลงทุนต้องการความชัดเจนด้านนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐ ซึ่งก็มี
แนวโน้มได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าน่าจะ
เป็นสัญญาณในเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์  โดยเฉพาะในส่วน
ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งจะเอื้อ
ประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจของกลุ่มไทคอนในพื้นที่อีอีซี ได้เป็นอย่างดี

 

นายวีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "กลุ่มไทคอนได้เตรียมพร้อมในการรองรับความต้อง
การโรงงานและคลังสินค้าที่จะเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในพื้นที่อีอีซี ซึ่งครอบ
คลุมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง นอกจากนี้ กลุ่มไทคอนยังมีข้อได้
เปรียบในด้านแลนด์แบงค์ในพื้นที่อีอีซีซึ่งมีครอบครองอยู่มากกว่า 3,000 ไร่
ซึ่งพร้อมนำมาพัฒนาเป็นโรงงานและคลังสินค้าสำหรับรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรม
ต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้อีกด้วย นอกเหนือจากการเดินหน้าขยาย
พื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าในพื้นที่อีอีซี แล้ว กลุ่มไทคอนยังพัฒนา
โครงการ TPARK ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ จ.ขอนแก่น และ จ.ลำพูน ซึ่งได้
เปิดให้บริการคลังสินค้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าราย
ใหญ่อีกด้วย

 

สำหรับความคืบหน้าการขยายการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทฯ ยังคงขยายการลงทุนใน
ประเทศอินโดนีเซียต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการขนาด
พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่
โครงการในเฟสที่ 1 และ 2 มีลูกค้าเช่าพื้นที่เต็มแล้ว และยังวางแผนซื้อที่ดิน
เพิ่มเติมในหลายพื้นที่ในประเทศอินโดนีเซียเพื่อลงทุนต่อเนื่องอีกด้วย

 

ในส่วนของการเพิ่มทุนของ บริษัท เฟรเซอร์ เซ็นเตอร์พอยต์ ลิมิเต็ด เมื่อต้นปี
ที่ผ่านมายังนับเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยส่งผลดีให้กับกลุ่มไทคอนเป็นอย่างมาก เพราะ
นอกจากจะทำให้ฐานะการเงินของกลุ่มไทคอนมีสถานะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแล้ว ยัง
สามารถนำ Know-how ของกลุ่มเฟรเซอร์สมาต่อยอดเชิงธุรกิจได้เป็นอย่างดี จึงทำให้
บริษัทฯได้รับประโยชน์เต็มที่จากการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ตลอดจนเพิ่มขีดความ
สามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศซึ่งถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของไทคอนใน
การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี” นายวีรพันธ์ กล่าวสรุป