“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

ออริจิ้น เดินหน้าสร้าง “The Empire of Origin” ติดเครื่องตลาดลักชัวรี่ เล็งผุดอาณาจักรมิกซ์ยูสหรู “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” ทำเลใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 70,000ล้านบาท พร้อมจัดทัพผู้บริหาร กุมบังเหียน JV-บ้านแนวราบ-อสังหาฯเช่า-บริการ ปั้นอาณาจักรอสังหาฯครบวงจร ปี 61 จ่อเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 30,000ล้านบาท ตั้งเป้าโกยยอดขาย 20,000 ล้าน พร้อมรายได้ทะลุ 15,000 ล้าน

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้ จะมุ่งเดินหน้าสร้างอาณาจักรออริจิ้น หรือ The Empire of Origin โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านแนวราบ โครงการร่วมทุนกับต่างชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้หมุนเวียน รวมถึงมีธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์

 

“ปี 2560 เป็นปีที่เราเริ่มก้าวสู่การเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ นอกจากธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะเป็นปีที่เราขับเคลื่อนธุรกิจใหม่อย่างเต็มกำลัง ทุกธุรกิจจะหยั่งรากฐานและเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาณาจักรออริจิ้น และเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม” นายพีระพงศ์ กล่าว

 

สำหรับก้าวแรกของการสร้างอาณาจักรออริจิ้น บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่มากขึ้น โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสผสานกับโครงการคอนโดมิเนียม 3 ทำเล เพื่อสร้างโครงการแฟล็กชิพภายใต้คอนเซ็ปต์ “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ พร้อมพงศ์ ทองหล่อ และพญาไท ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านการอยู่อาศัยของโลก ที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักกับการเข้าอยู่อาศัยในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร ขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการพัฒนาแต่ละโครงการ

 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ถึงเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้จัดโครงสร้างบริษัทให้ชัดเจนและแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงต่างๆ มาอย่างยาวนาน ขึ้นดูแลและบริหารส่วนงานที่มีความสำคัญกับการเติบโตเป็นอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ได้แก่ นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแลด้านการร่วมทุน (Joint Venture) นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ ดูแลธุรกิจบ้านแนวราบ นางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก สำนักงานเช่า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและการเช่า

 

สำหรับปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 10   โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท และโครงการบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่วางเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 43% เป้ารายได้ที่ 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 67%

 

ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดูแลด้านการร่วมทุน กล่าวว่า การร่วมทุนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเติบโตของออริจิ้นสู่อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพราะจะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้แนวคิด โนว์ฮาว ดีไซน์ ของบริษัทพาร์ทเนอร์ มาใช้ต่อยอดกับการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ ของพาร์ทเนอร์อีกด้วย

 

“กรณีเราร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ทางโนมูระมีฐานลูกค้าอยู่ราว 4 แสนราย มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นมายาวนานถึง 60 ปี การร่วมทุนกับโนมูระทำให้เราสามารถนำประสบการณ์ 60 ปีของโนมูระ มาต่อยอดเป็นปีที่ 61 ของเรา” นายปิติพงษ์ กล่าว

 

ที่ผ่านมา บริษัทมีพาร์ทเนอร์หลักคือบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 5 โครงการ และโครงการโรงแรมอีก 1 โครงการ ในอนาคต บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสในการร่วมทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ ทั้งโครงการแนวราบ คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจแวร์เฮาส์ คาดว่าระยะยาวจะมีรายได้ที่เกิดจากธุรกิจร่วมทุนราว 20-30% ของรายได้รวม

 

ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจโครงการแนวราบถือเป็นอีกธุรกิจที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรออริจิ้น โดยภายในปี 2561-2565 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และทำเลระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างรายได้กลับมายังบริษัทในช่วง ปีดังกล่าวกว่า 31,000 ล้านบาท

 

“เราวางแผนตั้งแต่ต้นว่าจะใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบทวีคูณ หรือ Multiply Growth ดังนั้น การทำงานในทุกขั้นตอนของเราตลอดช่วงที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบคูณสอง ทั้งการหาที่ดิน การพัฒนางานออกแบบ ตลอดจนการทำงานด้านการตลาด ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถเติบโตไปได้ตามเป้าหมาย” นางศุภลักษณ์ กล่าว

 

ขณะที่ระดับราคาของบ้านจะแบ่งออกเป็น เซ็กเมนท์ ได้แก่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 5-ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอีโคโนมี่ พรีเมียม ไปจนถึงระดับเพรสทีจ

 

ทั้งนี้ จุดขายโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียภายใต้อาณาจักรออริจิ้นจะประกอบด้วย ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ทำเล ที่เน้นเจาะพื้นที่บลูโอเชียนที่การแข่งขันไม่สูงมาก แต่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพรองรับการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ชานเมือง 2.ฟังก์ชั่น ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงๆ ของผู้บริโภค และ 3.สไตล์ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมโครงการ

 

ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดไปแล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค สามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน เดือน ในปี2561 จึงจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท

 

ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโตและรับรู้รายได้อย่างยั่งยืนให้กับอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของออริจิ้น เพราะประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่สร้างรายได้กลับมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับทุกสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจบริการที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค

 

ทิศทางของบริษัทต่อจากนี้ จะให้ความสำคัญกับ เรื่อง 1.Great Location เกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไป (Leisure Traveler) และนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveler) รวมถึงทำเลอีอีซีที่มีศักยภาพในการเติบโต 2.Great Service ให้ความสำคัญกับการบริการมาตรฐาน โดยในส่วนของโรงแรมนั้น บริษัทจะใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดบริการมาตรฐานสากล ผสมผสานเข้ากับการบริการซึ่งมีเอกลักษณ์แบบของไทย 3.มิกซ์ยูส โครงการต่างๆ ต่อจากนี้จะพัฒนาไปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่

 

“สำหรับธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ เราตั้งเป้าว่าภายใน ปี จะมีจำนวนห้องพักอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ขณะที่ในแง่ธุรกิจบริการ เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตจนมีเซอร์วิสเชนของตัวเอง คอยบริการผู้บริโภค” นางจตุพร กล่าว