“ฝนตกบ้านน้อง ฟ้าร้องบ้านพี่” หรือวลี “อเมริกันแค่ไอ แต่ไทยเป็นหวัด” (ตอนนี้ “จีนแค่ขาก ไทยอ้าปากรอ”) เป็นการเปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน พลันที่สงครามการค้าอเมริกัน-จีน ยกแรกปะทุขึ้น มีหรือจะไม่กระทบถึงไทย คำพังเพยมีอยู่ว่า “ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ” แล้วจะทำอย่างไรดี
ดีเดย์ ทุบให้เซ ก่อนต่อรอง
วันดีเดย์ของสงครามการค้าอเมริกัน-จีนยกแรกคือวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 โดยได้ประกาศล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ปีเดียวกัน
อ้างอิงจากสำนักข่าวรอยเตอร์ที่สื่อไทยหลายฉบับแปลมาให้อ่าน สรุปความคือ รอยเตอร์รายงานว่า กำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์เริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลา 04.01 น. ตามเวลามาตรฐานเมืองกรีนิช (จีเอ็มที) ของวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ เท่ากับหลัง 12.00 น. ในกรุงปักกิ่งของจีน (ตรงกับ 11.00 น. ในไทยวันเดียวกัน) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ข่มขู่ว่าจะยกระดับความตึงเครียดด้านการค้าด้วยการกำหนดกำแพงภาษีมากถึง 450,000 ล้านดอลลาร์ต่อสินค้านำเข้าจากจีนหากจีนใช้มาตรการโต้ตอบ ความขัดแย้งครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินรวมถึงหุ้น ค่าเงินและตลาดโภคภัณฑ์ตั้งแต่ถั่วเหลืองไปจนถึงถ่านหิน
(ขยายความเพิ่มเติมแบบสำนวนจิ๊กโก๋ว่า “กูตบหน้ามึงหนึ่งที หากมึงตบตอบ ก็จะต่อยให้ดิ้น”)
รอยเตอร์รายงานต่อดังนี้ สำนักงานศุลกากรจีนแสดงความชัดเจนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมว่า กำแพงภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐมีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากที่สหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวเตือนในการแถลงข่าวว่า การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานนานาชาติ ซึ่งรวมถึงบริษัทต่างชาติในจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
“หากสหรัฐบังคับใช้กำแพงภาษี จะเป็นการเก็บภาษีบริษัทจากทุกประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงบริษัทของจีนและสหรัฐเองด้วย” นายเกากล่าวและว่า “มาตรการของสหรัฐถึงที่สุดแล้วเป็นการโจมตีห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่มูลค่าของสินค้าทั่วโลก สรุปแบบง่ายๆ คือสหรัฐกำลังเปิดฉากโจมตีทั้งโลกซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย” นาย เกา เฟิงกล่าว
ทั้งนี้เพราะว่า การส่งออกของบริษัทต่างชาติในจีนที่ตกเป็นเป้ากำแพงภาษีของสหรัฐคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 59 เปอร์เซ็นต์ ของ 34,000 ล้านดอลลาร์นั้นมีบริษัทสหรัฐเองเป็นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญที่ 59 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่แผนการของจีนในการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการนั้นพุ่งเป้าไปยังสินค้าส่งออกหลักของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง ข้าวฟ่างและฝ้าย ก็ถูกมองว่าเป็นการคุกคามชาวนาของสหรัฐในรัฐที่เป็นฐานเสียงของนายทรัมป์ อาทิ เทกซัสและไอโอวา
(นั่นคือ จีนไม่แค่เพียงตบหน้าตอบ หากยังทิ่มนิ้วมือแข็งๆ ไปที่พุงของอเมริกันด้วย)
ผลกระทบต่อไทย
“American First” ของ Donald Trump ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา มีหลายเรื่องหลายราว ทั้งเข้าตาคนอเมริกัน และถูกสังคมอเมริกาคัดค้าน
ในเรื่องที่พัวพันมาถึงไทยเริ่มต้นที่ อเมริกาสั่งเพิ่มภาษีการนำเข้าเหล็ก และอลูมิเนียมจาก สหภาพยุโรป และ สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน)
เหล็กสำเร็จรูปจากจีน เข้าอาเซียนเพิ่มมากขึ้น จากที่มากอยู่แล้ว รวมทั้งการ “ส่งออก” โรงเหล็กที่ใช้เตาหลอม IF (Induction Furnace) ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสั่งยกเลิก เนื่องจากมีมลภาวะมาก และคุณภาพประสิทธิภาพในการผลิตต่ำ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนรวมของจีนที่ต้องการลดกำลังการผลิตเหล็กในประเทศตนเอง เพื่อให้ราคาเหล็กขยับขึ้น
ปรากฏว่า โรงเหล็กที่ใช้เตาหลอม IF (Induction Furnace) จำนวนหนึ่งมาตั้งในไทย แม้ว่าสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ได้มีการปรับปรุงมาตรฐานเหล็กเส้นก่อสร้างใหม่ จากเดิมเหล็กเส้นกลม มอก. ที่ 20-2543 และเหล็กข้ออ้อย มอก. ที่ 24-2548 เป็นเหล็กเส้นกลม มอก. ที่ 20-2559 และเหล็กข้ออ้อย มอก.ที่ 24-2559 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่บังคับให้ระบุประเภทเตาหลอมที่ใช้ในการผลิตเหล็ก มาตรการเช่นนี้เป็นเหมือนการสร้างทางเลือกหรือเกราะป้องกันให้ผู้บริโภครู้และเลือกใช้เหล็กที่ผลิตจากโรงงานที่ใช้เตาหลอมประเภทอื่น (ที่ไม่ใช่ IF)
แต่ได้ผลแค่ไหน ทำไมไม่แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ ต้นทาง
ป้อนฝัน อเมริกัน
กลุ่มนักวิเคราะห์ที่มองสถานการณ์ในทางเลวร้าย แสดงความกังวลเรื่องสงครามการค้าจะลามออกไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน ตลาดหุ้น และการค้าในระดับโลก ประเด็นนี้มีการอ้างอิงว่า ทาง WTO (World Trade Organization – องค์การการค้าโลก) ระบุว่ากลไกต่างๆ ของโลกตอนนี้ มีความเสี่ยงสูงมาก ทาง WTO ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ที่ว่าการขึ้นภาษีสามารถช่วยให้ “งาน” ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเหมือนกับสถานการณ์ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เพราะหากบริษัทจีน และบริษัทยุโรป โดยเฉพาะภาคการผลิตเพื่อการส่งออกอาหารและรถยนต์ซึ่งที่มีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐได้รับผลกระทบ ย่อมส่งผลกระทบต่อเรื่องไปถึงพนักงานในสหรัฐอยู่ดี
(“ขว้างงูไม่พ้นคอ”)
การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศหวาดหวั่นว่า หากสหรัฐฯ จีน และยุโรป ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินเค้า ย่อมส่งผลให้ภาษีการนำเข้าระดับโลกเพิ่มขึ้น 4% ผลกระทบนั้นมีต่อทุกฝ่าย อาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงราว 0.4% มูลค่าการค้าในเศรษฐกิจโลกลดลง นั่นหมายถึงการนำเข้า-ส่งออก สินค้าและบริการระหว่างประเทศต่างๆ ลดลง ทั้งนี้เมื่อประเมินจากข้อมูลของ WTO ที่แต่ละวันการค้าขายระหว่างประเทศทั่วโลกมีการเก็บภาษีนำเข้าประมาณวันละ 60,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. คิดเป็น 0.3 %ของการค้าโลก และอาจเพิ่มเป็น 800,000 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว ฝันที่ป้อนให้ชาวอเมริกันนั้น เป็น ฝันดีหรือฝันร้าย หรือแค่กลเม็ดสร้างคะแนนเสียง เพราะว่าสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลเท่าไหร่ จีนก็ตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในมูลค่าเท่ากัน มาตรการตอบโต้เช่นนี้ ประเทศในยุโรป และสหภาพยุโรป เตรียมตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ดูตัวอย่างจากจีน พอเห็นได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับบริษัทธุรกิจต่างๆ ที่ประกอบการอยู่ในสหรัฐฯ ทั้งนีอ้างอิงข้อมูลจาก Economic Intelligence Center ของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งรวบรวมมาจากการวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ USTR และสื่อสิ่งพิมพ์ ระบุถึงการปรับภาษีนำเข้าระยะที่ 2 ของอเมริกาคือ เพิ่มภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากจีน 284 รายการ มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ครอบคลุมอุปกรณ์/สารกึ่งตัวนำ พลาสคิก เหล็กโครงสร้าง มอเตอร์ไฟฟ้า ฯลฯ ขั้นตอนทางกฎหมายต้องผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณชนก่อน แต่จีนนั้นทำได้ทันทีโดยจีนเตรียมเก็บภาษีระยะที่ 2 ดังนี้ ขึ้นภาษี 25% สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 114 รายการ มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ครอบคลุมสินค้าพลังงาน อาทิ ถ่านหิน น้ำมันดิบ และอุปกรณ์ทางการแพทย์
สหรัฐประกาศเมื่อไหร่ จีนตอบโต้ได้ทันที (ระบอบปกครองของสาธารณรัฐประชาชน รัฐบาลทำงานได้เร็วกว่า)
ที่สุดแล้ว ฝันของอเมริกัน อาจเป็นแบบ “นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง” ย่อมสู้ฝันแบบจีนไม่ได้ “รวยก่อนแก่”
ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกกระเทือน
โลกปัจจุบันเชื่อมโยงกันทั้งการผลิตและการบริโภค ทางด้านการผลิตของบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้สร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เข้าหลายประเทศทั่วโลก ก่อนที่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปขั้นสุดสำเร็จป้อนสู่ตลาด
การ “ปะทะย่อย” จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามากน้อยขนาดไหน รวมถึงประเทศไทยมีโอกาสได้รับผลดีผลเสียจากปัจจัยบวก (มีหรือ?) ปัจจัยลบอย่างไร
ประเด็นนี้ อีไอซี ของไทยพาณิชย์ มองว่าเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีนในหลายอุตสาหกรรม แต่สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบมีสัดส่วนมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกโดยรวมทั้งหมดของไทย โดยเฉพาะความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมที่อยู่ในนโยบาย Made in China 2025 ซึ่งเน้นไปที่สินค้าไฮเทคยังมีความเข้มข้นต่ำ และผู้ส่งออกไทยก็ยังมีการกระจายสินค้าไปยังตลาดส่งออกอื่นๆ ส่งผลให้อีไอซีมองว่าการส่งออกของไทยในปี 2018 จะยังขยายตัวได้สูงราว 7.5%YOY
ประเด็นผลกระทบต้องดูภูมิต้านทานของแต่ละประเทศ นั่นคือดูว่า การพึงพิงการค้าขายระหว่างประเทศนั้นมากน้อยเพียงใด ประเด็นนี้ดูได้จากข้อมูล Trade Openness Exports Plus Imports as Percent of GDP ปี 2015 เจาะเฉพาะ สหรัฐฯ จีน ที่เป็นคู่สงครามการค้า และไทยที่ได้รับผลกระทบกระเทือน
นั่นคือประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกบวกนำเข้าเท่ากับ 125.85 % ของ จีดีพี จีน 40.46 % ของ จีดีพี สหรัฐอเมริกา 28 % ของ จีดีพี ประเทศที่สัดส่วนของ Trade Openness ต่อจีดีพี สูงย่อมได้รับผลกระทบมากกว่า
ขนาดตลาดภายในประเทศไม่ใหญ่มากพอ เศรษฐกิจพึงตนเองในประเทศเข้มแข็งไม่เพียงพอ บางจังหวะเวลาเหมือน “เป้าล่อ” ให้ถูกชกเก็บแต้ม โกยกำไร
กรณีที่ อเมริกาทยอยดึงเงินกลับประเทศ อียูกำหนดเริ่มดึงเงินกลับปี 2019 เงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยขายสุทธิครึ่งแรกปี 2018 มากกว่า 1.6 แสนล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นไทยลงไปต่ำกว่า 1600 จุด และนักวิเคราะห์คาดว่า อาจต่ำกว่า 1500 จุด กระทั่งไปถึงต่ำกว่า 1400 จุด
ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขาดทุน รายย่อยมีปัญหาการประกอบกิจการ ผลกระทบมีต่อเนื่องแน่นอน กล่าวถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการรับเหมาก่อสร้างควรเตรียมการไว้เลยว่า ลูกค้ารายเล็กรายน้อย ที่ลดลง ยังอีกนานกว่าจะเพิ่มขึ้น งานก่อสร้างเล็กๆ หดหาย ที่เหลืออยู่มากสักหน่อย เป็นงานก่อสร้างภาครัฐทั้งขนาดใหญ่ขนาดกลาง และที่ซอยงานให้เล็กลงเพื่อเปิดกว้างให้ธุรกิจก่อสร้างรายไม่ใหญ่เข้าถึงได้มากขึ้น
มรสุมธุรกิจเพิ่งเริ่มต้น คลื่นลมแรง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง “หมูป่า” ติดถ้ำ นำออกมาได้ ส่วน หมูติดดอย - (ติดหุ้นราคาสูง) ยังไร้อนาคต ส่วนกิจการรับเหมา ต้องมองไปข้างหน้าว่า กรณีชาวพม่า ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างในภูเก็ตและจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้นั้น จะเป็นเรื่องเล็กไปทันที เมื่อคนจีน-ธุรกิจจีนขนาดต่างๆ เริ่มประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในไทย
#