งานก่อสร้างด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาทางกายภาพ พัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง จุดเริ่มต้นที่สำคัญประการหนึ่งของการติดตามข้อมูลข่าวสารความคืบหน้าของโครงการต่างๆ คือข่าวสารจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จากนั้นก็เกาะติดความคืบหน้าของโครงการนั้นๆ ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง
สร้างโครงการอ่างเก็บน้ำ 4 แห่ง
การบริหารจัดการน้ำให้มีพอใช้ทั้งพื้นที่เกษตรกรรม โรงงานอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการรวมถึงการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน กับการบริหารจัดการน้ำไม่ให้ท่วม เป็นสองด้านที่ต้องสมดุลสอดคล้องกัน บริหารจัดการไม่ให้น้ำท่วมในระยะเวลาที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม บริหารจัดการไม่ให้ขาดแคลนน้ำในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงเพราะน้ำน้อย เรื่องนี้เป็นพื้นฐานที่รับรู้กันแต่การทำให้ได้ผลตรงตามต้องการเต็มร้อยและต่อเนื่องยืนยาวนั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายประการ ตั้งแต่เรื่องการสร้างเขื่อนอ่างกักเก็บน้ำ การจัดสรรพื้นทีประโยชน์ใช้สอยอย่างเหมาะสมระหว่างพื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พื้นที่เขตเมืองพาณิชยกรรมและบริการ หมายถึงการวางผังภาค ผังเมืองรวม และผังชุมชน
งานสำคัญอย่างหนึ่งคือการสำรองน้ำต้นทุน หมายถึงการสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำ ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 มีมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 85 – 2 – 06.4 ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี
2. เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 49 ไร่ เพื่อก่อสร้าง โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
3. เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 229 ไร่ เพื่อก่อสร้าง โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่
4. เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 1,380 ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
ทั้งนี้ โครงการอ่างเก็บน้ำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ทั้ง 4 โครงการ เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติหลักการโครงการแล้ว และสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. 2558 – 2569) ในยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) และยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย โดยจะสามารถเพิ่มการกักเก็บน้ำได้จำนวน 105.17 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ ประมาณปีละ 160 ล้านลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดำเนินโครงการบางส่วนเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการทั้ง 4 โครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 โดยคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เห็นชอบด้วยแล้ว
สรุปความก็คือ มติครม.ดังกล่าว ส่งผลให้โครงการอ่างเก็บน้ำ 4 แห่งสามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่อง นั่นคือโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา
เหมืองแร่อุตสาหกรรมต้นน้ำปูนซิเมนต์
ปูนซิเมนต์เป็นวัดสุก่อสร้างสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งเป็นงานโครงสร้างหลักที่ใช้กันเป็นส่วนมากแทบจะร้อยเปอร์เซนต์ในงานก่อสร้างต่างๆ ของประเทศไทย อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์เป็นต้นทางของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ส่วนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ผลิตวัสดุดิบในการผลิตปูนซิเมนต์เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ เรื่องทั้งสามส่วนนั้นมีความสอดคล้องเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นข่าวข้อมูลเกี่ยวกับเหมืองแร่จึงควรสนใจทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 มีมติครม.เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด และบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 23-27/2553 เพื่อจัดตั้งสถานที่ เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ตามคำขอที่ 1/2553 และเพื่อปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หรือจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ ตามคำขอที่ 2/2554 จำนวน 5 แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544
2. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอเอ็ม เพื่อ ทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์) ตามคำขอประทานบัตรที่ 20-24/2554 จำนวน 5 แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544
3. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ตามคำขอประทานบัตรที่ 1/2550 4/2550 และที่ 5/2550 จำนวน 3 แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538
ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) กำกับให้บริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด และบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ขยายความอย่างเล็งประโยชน์ส่วนรวม อาจมุ่งหวังได้ว่า การอนุมัติผ่อนผันดังกล่าว พอมีส่วนช่วยให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์เพิ่มมากขึ้น ระดับราคาปูนซิเมนต์พอยืนราคาไม่ขึ้นราคารวดเร็วเกินไปนัก
เร่งงานพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
ไม่ว่าในอนาคตสถานการณ์การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นที่แน่นอนหรือค่อนข้างแน่นอนว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานั้นเดินหน้าต่อเนื่องจนสัมฤทธิ์ผล ล่าลุดมีความคืบหน้าจากมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 สิงหาคม 2561 5. เรื่อง ขออนุมัติวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนแปลงรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา – ท่าเรือจุกเสม็ดจังหวัดชลบุรี รวมทั้งยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่องการปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ 1.6 ของกรมทางหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนรายการภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โครงการพัฒนาทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา – ท่าเรือจุกเสม็ด จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 7.763 กิโลเมตร วงเงิน 632 ล้านบาท มาดำเนินรายการค่าก่อสร้างและค่ารื้อย้ายสาธารณูปโภค รวมวงเงิน 811.95 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน 179.95 ล้านบาท)
2. อนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ 1.6 ที่กำหนดให้รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด
โดยให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ขอให้ กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
ภาพรวมเฉพาะหน้า โครงการประหนึ่งเป็นการนำร่องให้โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) คือ โครงการพัฒนาทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา การขยายทางเข้าสนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือจุกเสม็ด เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องเบิกทางให้ EEC. เหลือแต่ว่า อุตสาหกรรมใดประสบความสำเร็จในการเป็นอุตสาหกรรมเรือธงของโครงการอีอีซี. เหมือนกับที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีประสบความสำเร็จในฐานะเป็นอุตสาหกรรมเรือธงของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก Eastern Seaboard จนมีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องขยับเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง มีรายได้จากภาคพาณิชยกรรมและบริการ ภาคอุตสาหกรรมเป็นรายได้หลัก รายได้จากภาคเกษตรกรรมลดถอยไปอยู่อันดับสาม แม้ว่าสัดส่วนประชากรในแต่ละภาคเศรษฐกิจจริงดังกล่าว สัดส่วนแรงงานในภาคเศรษฐกิจจริงทั้งสามส่วนยังไม่สมดุลกับสัดส่วนรายได้ของจีดีพี.เท่าใดนัก
รวมทั้งยังทิ้งปัญหาการกระจายรายได้ ปัญหาการสร้างโอกาสให้เกิดธุรกิจรายย่อยเกิดธุรกิจ “สตาร์ทอัพ” ธุรกิจสร้างสรรค์ต่างๆ
ปัญหามีไว้แก้ไข
#