ตั้งแต่กลางปี 2561 เป็นต้นไปอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยควรก้าวสู่ช่วงจังหวะเวลาขยายตัว กิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่-กลางและเล็กย่อมมีโอกาสดีทางธุรกิจมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามมีภาษิตจีนเตือนใจว่า “อย่ากัดคำใหญ่เกินที่จะเคี้ยวกลืน”
การขยายตัวปีละ 7-9 % / อย่างนี้ต้องว่าดี
ข้อมูลอ้างอิงจากหลายๆ ฝ่าย อาทิ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง,สถาบันก่อสร้าง รวมถึงฝ่ายวิจัยของธนาคารและธุรกิจหลักทรัพย์ (เช่นฝ่ายวิจัยกรุงศรี) ประเมินอนาคตอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 2561- 2563 ไปในทิศทางเดียวกันคือ เป็นช่วงเวลาขยายตัว โดยประเมินว่าขยายตัวเฉลี่ยปีละ 7 - 9 %
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเริ่มเดินหน้า มีผลการประมูลเกิดขึ้น มีการล้อมรั้วเริ่มต้นโยกย้ายสาธารณูปโภคอันเป็นขั้นต้นแรกของงานก่อสร้าง ไปจนถึงเริ่มต้นก่อสร้าง ภาพสะท้อนของถนนพระรามเก้าและรามคำแหง/ ศรีนครินทร์และลาดพร้าว/ รามอินทราและแจ้งวัฒนะ เป็น “เงามืด” จากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก รถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง และโมโนเรลสายสีชมพู
ผลพวงต่อเนื่องคือการก่อสร้างของภาคเอกชนมีโอกาสพื้นตัวทั้งงานก่อสร้างจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเส้นทางรถไฟฟ้า และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC
ก่อสร้างภาครัฐเป็นเรือธง
อุตสาหกรรมก่อสร้างในไทยในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และราว 10 ปีในอนาคต “เรือธง” ของอุตสาหกรรมนี้อยู่ที่งานก่อสร้างของภาครัฐ โดยงานก่อสร้างภาคเอกชน “แล่นตาม” หรือก้าวตามร่มเงาของงานก่อสร้างภาครัฐ ภาพรวมทั่วประเทศแล้วสัดส่วนการลงทุนการก่อสร้างภาครัฐกับภาคเอกชนเฉลี่ยราว 53:47
ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน “ชุบสร้าง” ทางกายภาพของประเทศ งานก่อสร้างภาครัฐมีบทบาทสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมทางกายภาพให้พื้นที่ต่างๆ ดังเห็นได้ว่า งานก่อสร้างของภาครัฐส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีสัดส่วนราว 80% ของมูลค่าก่อสร้างงานภาครัฐทั้งหมด ตรงนี้จัดกลุ่มเป็นงานโยธา (ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้รับเหมางานโยธาที่มีงานล้นมือ) ส่วนที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างอาคารของรัฐ ที่พักข้าราชการ (จัดกลุ่มเป็นงานอาคารที่ผู้รับเหมากลุ่มนี้งานน้อย เสียงก็ดังน้อยลง) นอกจากนี้เป็นงานโครงการอื่นๆ เช่น โครงการการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค
ทั้งจากกลไกการแข่งขัน “ปลาใหญ่ได้เปรียบ” และระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ อาทิ การจัดชั้นผู้รับเหมา จึงเป็นปกติธรรมดาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มีความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อประมูลงานก่อสร้างของภาครัฐ ความได้เปรียบดังกล่าวประกอบด้วย ความชำนาญเฉพาะด้านที่เข้ากับเงื่อนไขการเข้าประมูล, ความพร้อมแห่งศักยภาพทางการเงิน ความพร้อมทางด้านเครื่องจักรกลก่อสร้างและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
ผู้รับเหมารายใหญ่ย่อมมีเครือข่ายผู้รับเหมาช่วง(Sub -contractors) contractors) contractors) ของตนเอง การทำงานก่อสร้างจริงที่เกิดขึ้นจึงมีกิจการรับเหมาก่อสร้างที่เข้าไปเกี่ยวข้องทำงานรูปธรรมมากกว่าบริษัทที่ประมูลงานได้ “กัดเนื้อได้คำใหญ่ ให้มาแบ่งกันกิน”
ภาพรวมของงานก่อสร้างภาคเอกชนกระจุกตัวที่อุตสาหกรรมพัฒนาที่อยู่อาศัยและโครงการมิกซ์ยูสซึ่งคิดเป็น 57 % ของมูลค่างานก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด ดาวเด่นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยคือโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ งานก่อสร้างของภาคเอกชนที่มีสัดส่วนน่าสนใจคือโรงงานอุตสาหกรรมเฉลี่ยราว 11 % -ของมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชน ประเมินได้ว่า ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีการขยายตัว สัดส่วนมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนส่วนที่เหลือคือ พาณิชยกรรม 10 % และการก่อสร้างประเภทต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม รวม เป็น 22 %
ธรรมชาติของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังแบ่งกลุ่มได้อีกว่า ชำนาญงานก่อสร้างของภาครัฐ หรืองานก่อสร้างภาคเอกชน แม้ว่ากิจการรับเหมาก่อสร้าง “ไม่เกี่ยงงาน” ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมี “ติ่งงานก่อสร้าง” ที่เห็นแนวโน้มสดใสนั่นคือ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน พม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ที่ขยายตัว ซึ่งแน่นอนว่าการก่อสร้างภาคเอกชนในประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าวย่อมขยายตัวตามมา กิจการรับเหมาของไทยจำนวนหนึ่งได้เข้าไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
ก่อสร้างดีก่อน เศรษฐกิจดีตาม
ในช่วงเวลา4-5 ที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนก่อสร้างในไทยมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.4 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงตกต่ำก่อนหน้านั้นที่มีสัดส่วนราว 5 % ของ GDP.
นอกจากนี้อัตราผลทวีคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ของอุตสาหกรรมก่อสร้างได้รับการประเมินที่สูงอยู่ระหว่าง 7 -12 เท่าจากมูลค่าการก่อสร้าง ตรงนี้ต้องเน้นว่ายังไม่รวมถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนแล้วเสร็จ การใช้ประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น ศักยภาพทางกายภาพของพื้นที่ในโครงการและแวดล้อมโครงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล
ผลทวีคูณทางเศรษฐกิจของมูลค่าก่อสร้างพิจารณาย้อนไปสู่โครงสร้างต้นทุนของธุรกิจก่อสร้าง นั่นคือต้นทุนส่วนใหญ่สัดส่วนประมาณ 60% -ของต้นทุนรวม มาจากค่าวัสดุก่อสร้าง เหล็ก ปูนซิเมนต์ และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ต้นทุนอันดับต่อมาคือ ค่าจ้างแรงงานราว 20 % ตามด้วยค่าใช้จ่ายอื่นๆ 20%
โครงการก่อสร้างมีการจ้างงานและใช้วัสดุก่อสร้างในประเทศเป็นสัดส่วนที่สูง แรงงานในพื้นที่ก่อสร้างทำให้เกิดชุมชนย่อมๆ ขึ้นระหว่างการก่อสร้าง มีการจับจ่ายใช้สอยประจำวันด้านอาหารการกิน และอื่นๆ การซื้อวัสดุก่อสร้างทำให้โรงงานอุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้างมียอดขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่วัสดุก่อสร้างหลักอย่างปูนซิเมนต์ และเหล็กเส้นก่อสร้าง จนถึงวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง งานก่อสร้างเพิ่มความต้องการใช้เครื่องจักรกลก่อสร้าง น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องจักร เป็นต้น
โลกนี้ (โลกหน้า) เป็นของผู้เข้มแข็ง
“เข้มแข็งกว่าย่อมได้เปรียบ” ไมว่าปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเป็น เร็วกว่า มีข้อมูลมากกว่า มีสายสัมพันธ์ดีกว่า แต่ก็ไปรวมความรวมศูนย์ที่เข้มแข็งกว่า
ตรงนี้ความเป็นจริงของโลกนี้และโลกหน้า ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีประมาณ 900,000 กว่าราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ราวๆ 300 ราย แต่มีครองคลาดก่อสร้างได้มากถึง 42 % -ของมูลค่าการก่อสร้างทั้งหมด บริษัทก่อสร้างขนาดใหญส่วนมากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
กล่าวเฉพาะข้อมูลของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทขนาดใหญ่ก็ยึดครองตลาดนั่นคือ กิจการก่อสร้างรายใหญ่ 3 อันดับแรกได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดิเวลอปเมนต์ บมจ.ช.การช่าง และบมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น มีส่วนแบ่งตลาด รวมกันกว่า 50% ของรายได้รวมในกลุ่มบริษัทก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์
นั่นหมายความว่า เมื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างขยายตัว รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ย่อมขยายตัวมากกว่า เว้นเสียว่า รับเหมารายกลางและรายเล็ก มีประสิทธิภาพการบริหารจัดการมากกว่า อัตราการขยายตัวจึงสูงกว่า แต่เมื่อเทียบกับวเงินรวมของมูลค่างานก่อสร้างในมือแล้ว ก่อสร้างรายใหญ่ยังยืนอยู่ในสถานะเป็นผู้ชนะ
อนาคตสดใส-(หุ้นรับเหมาเข้าซื้อได้)
อยากเป็นเจ้าของกิจการที่ไม่ต้องปวดหัวในการบริหารจัดการนั้นไม่ยาก เลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็ถือว่าเป็น “เจ้าของกิจการ” ได้
โฟกัสที่อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง นักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนไม่น้อยกล่าวว่า หุ้นรับเหมานั้นเล่นยาก เล่นกลุ่มอื่นดีกว่า แต่นักลงทุนหุ้นจำนวนหนึ่งก็มีจังหวะทำกำไรจากหุ้นรับเหมาก่อสร้างอยู่เนื่องๆ
หลักการประเมินเริ่มจากวิเคราะห์เศรษฐกิจและวิเคราะห์อุตสาหกรรมเสมอ เหตุผลหลักที่บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงปี 2561 – 2563 นั้นดีวันดีคืนมาจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐที่มีประมาณ 61 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 3.2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2569 รวมทั้งมีแรงหนุนส่งจากการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
รูปธรรมโครงการก่อสร้างภาครัฐต่อไปนี้ นอกจากชี้ให้เห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ดีแล้วยังนำไปเชื่อมโยงกับกิจการรับเหมาก่อสร้าง(รับเหมาช่วง)ที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง กระทั่งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เชื่อมโยง
ตัวอย่างคือ งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สาโรง)
รถไฟทางคู่ระยะแรกจานวน 5 เส้นทาง ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น
รถไฟทางคู่ที่เร่งประกวดราคา าในช่วงปี 2561-2562 เพราะรถไฟทางคู่ต้องเร่งสร้างให้ตลอดเส้นทางครบทุกสาย
การก่อสร้างถนน เช่น ทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ ด้านตะวันตก
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ -.อู่ตะเภา)
งานพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3
ส่วนงานก่อสร้างภาคเอกชนนั้นเกาะติดไปกับการลงทุนเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ (Crowding in effects) ประเมินว่า มูลค่าก่อสร้างของภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอัตรา 3-5 % ปีต่อปี มีมูลค่า 542 -553 พันล้านบาท ในปี 2561 มีการประเมินว่าในช่วงปี 2562 - 2563 จะขยายตัวต่อเนื่องในอัตรา 4 - 7 % ต่อปี
แล้วบริษัทรับเหมารายไหนดี จุดเน้นอยู่ที่ ผู้รับเหมาที่เน้นรับงานก่อสร้างโครงการภาครัฐกลุ่มที่มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น ให้ดูในช่วง 2561 -2563 ผู้รับเหมากลุ่มนี้ย่อมมีรายได้ดีขึ้น แม้ว่าต้องถ่วงดุลกับ “ความล่าช้า” ของโครงการภาครัฐ
เมื่อโลกนี้เป็นของผู้เข้มแข็ง ก็ต้องทำให้ตนเองเข้มแข็ง ตราบใดที่กติกาธรรมชาติเป็นเช่นนี้
#