การวิเคราะห์การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศเป็นการชี้แนวโน้มโดยสังเขปถึงโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นเปิดกว้างมากน้อยเพียงใด “ฟ้าเปิด” ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมืองเปรียบเทียบได้กับภาวะคลื่นลมสงบหรือรุนแรง สถานการณ์ที่ดีสำหรับภาคธุรกิจหรือฟ้าเปิดและคลื่นลมสงบ แนวโน้มปี 2562 อาจเป็นเช่นนั้น
ผลกระทบจากสงครามการค้าอเมริกา-จีน
ข้อมูลจากอีไอซี (Economic Intelligence Center) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2561 ขยายตัวที่ 4.5% ก่อนมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.0% ในปี 2562 เหตุปัจจัยสำคัญมาจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ภาวะการเงินโลกตึงตัว และนักท่องชะลอตัวลงจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต
ปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2561 มาจากอุปสงค์ด้านต่างประเทศอย่างต่อเนื่องทั้งการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ปรากฏชัดที่ผลดีต่อรายได้และการจ้างงาน การเติบโตดังกล่าวยังมีแนวโน้มต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2561 แม้ชะลอลงบ้างจากปัจจัยฐานสูงในปีก่อนหน้า และการชะลอลงของภาวะการค้าโลก
อนาคตปี 2562 อีไอซีประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 4.0%YOY ชะลอลงจากปี 2561 แต่ยังเป็นอัตราที่สูงสำหรับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้าที่เติบโตเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ต่อปี
ปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอลงตามเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญจากผลกระทบของสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการตอบโต้ของจีน, ภาวะทางการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวไทยจะเผชิญกับข้อจำกัดจากความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของสนามบินสำคัญต่าง ๆ ของไทย ที่ความหนาแน่นของสนามบินที่กดดันการขยายตัวของนักท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ต ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
ผลดีจากการลงทุนภาครัฐ การฉุดรั้งของรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มน้อย
อีไอซี (Economic Intelligence Center) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า การใช้จ่ายด้านการลงทุนในประเทศจะมีการขยายตัวที่เร่งขึ้น นำโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้น และสนับสนุนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว
ในอีกด้านหนึ่งพลังขับเคลื่อนมีน้อยหรือถ่วงรั้งก็ว่าได้ นั่นคือรายได้ครัวเรือนไทยที่แม้เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะก่อนที่การใช้จ่ายจะกระจายตัวและเร่งตัวขึ้น แม้รายได้ครัวเรือนไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 โดยรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 1.7% ปีต่อปี (YOY) ขณะที่ค่าจ้างของกลุ่มแรงงานที่เป็นลูกจ้างเพิ่มขึ้น 2.4%YOY อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวยังไม่สามารถนำไปสู่การเร่งตัวของการใช้จ่ายได้รวดเร็วนัก เพราะรายได้ครัวเรือนเพิ่งเริ่มฟื้นตัว หลังจากรายได้เกษตรกรหดตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2561
ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ค่าจ้างของกลุ่มลูกจ้างขยายตัวในอัตราต่ำเฉลี่ยน้อยกว่า 2 % ต่อปี จึงทำให้รายได้ที่แท้จริงหลังหักเงินเฟ้อค่อนข้างทรงตัว นอกจากนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนของครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งยังเป็นปัจจัยถ่วงต่อการใช้จ่ายอยู่
สถานการณ์โดยรวมของค่าจ้างแรงงานนั้น อีไอซี.ประเมินว่า การที่ค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แม้อัตราการว่างงานค่อนข้างต่ำนั้น ชี้ว่าอุปทานส่วนเกินในตลาดแรงงาน (slack) ยังมีอยู่ เรื่องนี้ดูจากจำนวนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยที่ลดลง การทำงานแบบล่วงเวลาที่ลดลง และสัดส่วนของจำนวนคนที่ว่างงานนานกว่า 6 เดือนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นผลทั้งจากปัจจัยเชิงวัฏจักรและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ความคลี่คลายจะเกิดขึ้นได้เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีและต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่ slack ในตลาดแรงงานลดลง ถึงมีแรงผลักดันให้ค่าแรงเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ในระยะยาวต้องยกระดับผลิตภาพของแรงงานไทยผ่านการเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนให้รายได้ขยายตัวได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ประเมินกนง.ชึ้นอัตราดอกเบี้ยปลายปี 2561
แรงกดดันให้ประเทศไทยขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีทั้งปัจจัยภายนอกที่อเมริกาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง การลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินจากภาวะดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องยาวนาน ทั้งนี้อีไอซีประเมินว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น จากแนวโน้มที่เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้จังหวะการขึ้นอาจเป็นในช่วงต้นปี 2562 หรืออย่างเร็วในช่วงปลายปี 2561 ขึ้นอยู่กับเงื่อนเวลาที่ กนง. จะมั่นใจว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ในกรอบเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามวัฏจักรขาขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปแตกต่างจากวัฏจักรขาขึ้นครั้งก่อนๆ สะท้อนระดับหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่สูงขึ้นมาก และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มเฉลี่ยต่ำกว่าในอดีต
อีไอซีประเมินว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยขึ้นครั้งละ 0.25% และไม่ขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันในทุกการประชุม เพื่อไม่ให้กระทบต่อโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมากเกินไป แต่จะใช้มาตรการดูแลรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ (macro-prudential) ในจุดที่มีความเปราะบางเพื่อจัดการกับปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่ไปด้วย ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังจากนั้นจะขึ้นกับข้อมูลเศรษฐกิจและการสื่อสารของ กนง. ในระยะต่อไป
หนี้ครัวเรือนเรื่องต้องโฟกัส
สถานการณ์วัฏจักรดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปกว่าในอดีต โดยมีสาเหตุ ดังนี้
ประการแรก หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วง 1.5 ปี ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยมีผลต่อกำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่คุณภาพสินเชื่อของผู้บริโภคยังคงเสื่อมลง
ประการที่สอง แนวโน้มค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำลงจากปัจจัยโครงสร้างทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น shale oil, automation, E-commerce และ Globalization โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะกลางต่ำลงจาก 3.1% ในปี 2013 เป็น 2.1% ในปัจจุบัน
ประการที่สาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยที่ต่ำจากปัจจัยโครงสร้าง โดยสภาพคล่องในประเทศอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง
ประการที่สี่ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไปผันผวนและมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก (ไม่รวมสหรัฐฯ) และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หรือ EM บางกลุ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเทียบกับสหรัฐฯที่ชะลอลงจากผลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ทยอยหมดไปเพราะผ่านช่วงเติบโตสูงสุดในปีนี้ รวมถึงสงครามการค้าเจาะจงลงไปในรายประเทศมากขึ้น ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แข็งค่าชะลอตัวตามความกังวลที่ลดลง
ผลกระทบต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
จากการประเมินของอีไอซี. ดังกล่าว นำไปสู่สถานการณ์ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างดังนี้ ข้อที่ชัดเจนคือธุรกิจก่อสร้างที่ทำงานกับภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ยังมีโอกาสอีกมากจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และโครงการประจำปีงบประมาณ แต่ต้องเตรียมรับมือกับปัญหาแรงงานอาจขาดแคลนและกรณีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เน้นงานภาคเอกชนโดยเฉพาะการสร้างตึกสูงต่างๆ งานโครงการใหม่ยังไม่เพิ่มมากขึ้น นอกจากการเร่งก่อสร้างโครงการที่มีอยู่ให้แล้วเสร็จตามแผนงานของผู้ว่าจ้าง
จุดสำคัญที่สุดของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2561 และปี 2562 คือ เรื่องราวทางการเมือง ข้อแรกมองโลกในแง่ดีคือ การเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ดำเนินไปอย่างราบรื่น มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งหลังจากนั้น หากเป็นเช่นนี้ถือได้ว่า “ฟ้าเปิดและคลื่นลมสงบ” เศรษฐกิจไปได้
ข้อที่สอง รัฐบาลชุดปัจจุบันเกิดมีความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่ยังยืนหยัดให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดระยะเวลาเดิมหรือเร็วกว่านั้น กรณีนี้ “ฟ้าเปิด คลื่นลมแปรปรวนเล็กน้อย” เศรษฐกิจ-ธุรกิจพอเดินหน้าต่อได้
ข้อที่สาม เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหันกับรัฐบาลปัจจุบัน และการเลือกตั้งไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่ชัด หากเป็นเช่นนี้แม้ฟ้าเปิด แต่คลื่นลมรุนแรง ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
อนาคตไม่แน่ชัด ขณะที่ความเชื่อที่เหมือนจับต้องไม่ได้ เป็นสภาวะนามธรรม แต่เมื่อความเชื่อของผู้คนจำนวนไม่น้อยนำไปสู่การปฏิบัติจริง ทำจริง ย่อมส่งผลรูปธรรมให้เกิดขึ้น จากไร้รูปสู่การมีรูป จากไร้สภาวะสู่การมีสภาวะ
พูดสั้นๆ เศรษฐกิจไทยปี 2562 แนวโน้มดี แต่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
#