การมองความเสี่ยงล่วงหน้าด้วยเครื่องมือต่างๆ ช่วยให้มีการตระเตรียมรับมือที่ดี ป้องกันมิให้เกิดความเสียหายจนมากเกินควรอันเป็นลักษณะเตรียมการเชิงรับ ขณะเดียวกันมีส่วนให้การเตรียมการเชิงรุกยังสามารถดำเนินการได้อยู่
ทิศทางใหญ่เศรษฐกิจไทย
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคาดว่ายังทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562 สามารถเติบโตได้ในระดับร้อยละ 4 อย่างต่อเนื่องอีกปีหนึ่ง อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญยังดำรงอยู่ เช่น
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (ที่ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม เฉพาะประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 มีมติ5 ต่อ 2 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีจาก ร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปีโดยให้มีผลทันที ขณะที่ 2 เสียงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้มีการประเมินกันว่า อัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับสู่ขาขึ้น
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่ประเมินว่าส่งผลกระทบไปทั่วโลก ในกรณีประเทศไทยมีผลกระทบทั้งการส่งออกไปสหรัฐฯโดยตรง และทางอ้อมในกรณีส่งสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ซัพพลายในการผลิตที่จีน และส่งไปขายสหรัฐฯ อีกด้านหนึ่งผลกระทบจากการที่สินค้าจากจีนต้องหาตลาดอื่น มาทดแทนตลาดสหรัฐฯ จึงประเมินว่าจะส่งเข้าแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย เช่น เหล็ก เป็นต้น
ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งหนี้สาธารณะที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีมากขึ้น อันทำให้เกิดความกังวลถ้าหากเกิดหนี้เสียจำนวนมาก มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งรายได้จากธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ลดลง(ลูกหนี้ไม่จ่ายดอกเบี้ย + เงินต้น) และต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะต้องเพิ่มเงินทุนสำรองต่อหนี้สูญ-ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (อันเพิ่มขึ้นจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
ทิศทางเศรษฐกิจไทยเชื่อกันว่าดี แต่ก็เหมือนกับการขับรถบนถนนที่เห็นว่า ดี แต่ก็ต้องระมัดระวังว่า อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
การเตรียมตัวของธนาคารพาณิชย์
ในปัจจุบันแม้ว่า แหล่งเงินทุนทั้ง 3 ส่วนของประเทศไทย สามารถดำเนินการไปได้อย่างปกติ กล่าวคือตลาดเงิน(บริการของกิจการธนาคาร) ตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์ฯที่เปิดกว้างให้มีการระดมทุนและการซื้อขายลงทุน กับการซื้อขายเก็งกำไร) และตลาดตราสารหนี้ (ที่เจ้าของกิจการออกตราสารหนี้ต่างๆ ระดมเงินทุนจากผู้ลงทุนโดยตรง ทั้งจากสถาบัน และจากประชาชนทั่วไป) แต่บทบาทของธนาคารพาณิชย์ในฐานะเป็น “ตัวกลาง” ในการระดมเงินทุน และให้บริการเงินทุน ก็ยังมีความสำคัญอย่างมาก
สำหรับประเทศไทยแล้วระบบธนาคารพาณิชย์ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในประเทศและระหว่างประเทศ นั่นหมายความว่าธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้ดูแลความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ รวมถึงความเสี่ยงระบบ ธนาคารพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญมากด้วยเช่นกัน
บทบาทอย่างหนึ่งคือ ดูแลว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีภูมิคุ้มกันรองรับความท้าทายทาง เศรษฐกิจในปี 2562 มากน้อยเพียงใด ธนาคารพาณิชย์มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนถนนแห่งกาลเวลาปี 2562 ได้ปลอดภัย ไม่ประสบอุบัติเหตุได้มากน้อยเพียงใด ในกรณีนี้ พิจารณาจากการรับมือกับความเสี่ยงที่มองเห็นได้ล่วงหน้า
การับมือกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ธนาคารกลางสหรัฐฯ Fed (Federal Reserve Bank) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 4 ในปี 2561 ตามแผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่กำหนดไว้ 4 ครั้ง โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้นไปอยู่ในช่วง 2.25-2.5% นับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 4 ของปีนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ทำให้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารขยับมาเป็น 2.50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551
นอกจากนี้แถลงการณ์หลังการประ ชุมด้านนโยบาย เฟดบอกว่า การปรับดอกเบี้ยขึ้นยังอาจจะมีอยู่ต่อไป แต่จากการประ เมินล่าสุด คิดว่าในปีหน้าอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 2 ครั้ง จากที่เคยประเมินเมื่อเดือนกันยายน 2561 ว่าอาจจะมี 3 ครั้ง ทั้งนี้ในช่วงหลายปีมานี้ เฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยเป็นประจำ โดยเมื่อวาน เป็นการประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 9 นับตั้งแต่ที่ค่อย ๆ เริ่มเข้ามาควบคุมระบบเครดิต และยกเลิกมาตรการ QE
(มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ Quantitative Easing ใช้ระหว่างปี 2551-2555 โดยการดำเนินมาตรการ QE ของสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 3 ครั้ง คือ QE1, QE2 และ QE3 ในระยะเวลา 2-4 ปี เป็นวงเงินราว 85,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. หลังจากนี้นเคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Open Market Committee : FOMC) ทีมีมติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ให้ยุติการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ)
ผลกระทบที่ประเมินได้จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องประเมินกันว่า อาจทำให้เกิดสถานการณ์เงินทุนไหลออกจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ส่งผลให้ค่าเงินผันผวนและสภาพคล่องในตลาดเงินหลายสกุลตึงตัว ผลข้างเคียงคือทำให้ระดมทุนเป็นสกุลต่างประเทศทาได้ยากขึ้น ดังเห็นได้จากการไหลออกของเงินทุนในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ กลุ่มที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางหลายประเทศ เช่น ตุรกี อาร์เจนตินา และเวเนซุเอลา ในประเด็นความเสี่ยงนี้
สำหรับประเทศไทย สุขภาพทางเศรษฐกิจยิงแข็งแรงอยู่ ข้อแรกเศรษฐกิจไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและ มีทุนสารองระหว่างประเทศสูง ข้อที่สองสองภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีการกู้ยืมจากต่างประเทศ อยู่ในสัดส่วนค่อนข้างต่ำ และข้อที่สาม ธนาคารพาณิชย์ไทยมีการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบหมด currency mismatch อยู่ในระดับต่ำ แต่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ สภาพคล่องและต้นทุนการระดมทุนสกุลเงินตราต่างประเทศย่อมสูงขึ้น ต้นทุนรวมในการหาเงินทุนจากนอกประเทศย่อมสูงขึ้น (การต่อรองกับแหล่งเงินทุน ทั้งตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ในประเทศย่อมลดลง)
หนี้ครัวเรือนสูง การเฝ้าระวังหนี้เสีย
หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่ต้องเฝ้าระวังคือการเกิดหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตรกากรป้องกันขั้นต้นทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เพื่อดูแลหนี้ภาคครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (credit underwriting) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย
เรื่องที่ธนาคารพาณิชย์ต้องระมัดระวัง คือ ต้องไม่ปล่อยให้แรงกดดันจากการแข่งขันมาทำให้ลดหย่อนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ และหากการตรวจสอบ การกำกับดูแลเห็นประเด็นความเสี่ยงต้องออกมาเตือนก่อนเกิดปัญหา
ขณะเดียวกันหนี้ธุรกิจขนาดกลางถึงเล็กก็เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อันเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อแล้วก็ตาม ก็ต้องมีการจัดชั้นที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเกิดภาระในการตั้งเงินสำรองหนี้สูญรองรับ
เมื่อธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้คือ การขอสินเชื่อทั้งของประชาชนทั่วไป -สินเชื่อครัวเรือนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหรืออื่นๆ ไปจนถึงสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจของกิจการรายย่อย รายเล็ก รายกลาง SMEs ย่อมยากลำบากไปโดยปริยาย
สำหรับภาครัวเรือน และธุรกิจเอสเอ็มอีนั้นการพยายามรักษาเครดิตทางการเงินที่ดีจึงเป็นเรื่องต้องเข้มงวด ความเสี่ยงในปี 2562 ตกลงสู่กลุ่มนี้ ความเสี่ยงในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของตนเอง และความเสี่ยงในการบริหารจัดการกิจการจิ๋ว-เล็ก-กลางให้อยู่รอด
ความเสี่ยงชองแบงก์ลดลง อันเนื่องจากการระมัดระวังตนเอง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ยังมีประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจและการทำกำไรที่ดีต่อไป
เมื่อมองภาพให้กว้างไกลมากขึ้น เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงของประเทศ
#